มวยไทยยุคใหม่ ต้องเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่วิธีการชั่งน้ำหนัก 

มวยไทยยุคใหม่ ต้องเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่วิธีการชั่งน้ำหนัก 


หากไปถาม นักมวยไทย ร้อยละ 100 อะไรคือสิ่งที่ยากสุดสำหรับการประกอบอาชีพนี้ คำตอบของทุกคน คงเหมือนกัน นั่นคือ “การลดน้ำหนัก” ที่สุดแสนจะทรมาน และส่งผลร้ายทางอ้อมต่อร่างกาย

นักมวยไทยคนหนึ่ง เมื่อมีรายการขึ้นชก ไม่ได้แปลว่า พิกัดที่ตกลงต่อย คือน้ำหนักจริงของเขา เพราะนักมวยไทยทุกคนจะรีดน้ำหนักลงมาจาก น้ำหนักตัวปกติ 6-10 กิโลกรัม เลยทีเดียว

ดังนั้นตลอดระยะเวลา 3-4 สัปดาห์ก่อนชก นักมวยไทย จะต้องเข้าสู่กระบวนการ ฝึกซ้อมอย่างหนัก เพื่อให้สภาพร่างกายแข็งแกร่งมากสุด ควบคู่กับ การควบคุมอาหารการกิน ที่กินอย่างจำกัด กินได้แค่ไม่กี่อย่าง

ยิ่งถ้าคนไหนน้ำหนักลดลงไม่ค่อยลง ก็อาจต้องถึงขั้นยอมอดอาหารคืนก่อนชั่ง เพื่อจะไม่ต้องไปวิ่งหน้าตาชั่งเยอะ ในวันชก

นั่นคือความเป็นจริงเกิดขึ้นกับ มวยไทยอาชีพ ที่เป็นมาอย่างช้านาน เพราะการชั่งน้ำหนักก่อนชก มีผลต่อการได้เสีย อัตราต่อรองของมวยแต่ละคู่ ทว่าวิธีการแบบนี้ ไม่ได้ส่งผลดีต่อชีวิตของนักมวย และไม่ใช่หลักปฏิบัติสากล ที่กีฬามวยใช้กับนักกีฬา

เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นจากการชั่งน้ำหนักเช้า ชกบ่าย ชกเย็น คือ ภาวะที่ร่างกายขาดน้ำหนักอย่างมาก เพราะเวลาลดน้ำหนัก นักมวยต้องวิ่งฝ่าสภาพอากาศที่ร้อน ใส่เสื้อคลุม เพื่อรีดน้ำหนัก ก็มีความเสี่ยงสูงที่เกิดอาการไตวายฉับพลัน, บางคนอาการอาการช็อกที่อาจถึงแก่ชีวิต

นอกจากนี้ นักมวยไทย ที่ต้องรีดน้ำหนักเยอะ ๆ ก็ทำให้เวลาขึ้นสังเวียน สภาพร่างกายของเขาจะไม่เต็มร้อย พละกำลังเรี่ยวแรงหมด ละแสดงศักยภาพออกได้อย่างไม่เต็มที่ เกมการชกในวันนั้นก็ไม่สนุก และหากสมมติฝรั่งที่รับชมการแข่งขันในวันนั้น ก็อาจรู้สึกว่า นักมวยไทย ไม่มีพละกำลังเอาเสียเลย หรือบางคนมีอาการไม่สบายหลังลดน้ำหนัก ฉี่ไม่หยุด เป็นไข้ ก็อาจทำให้เขาไม่สามารถชกได้

    ในทางกลับกัน หากเราลองใช้วิธีแบบสากล ที่มีการชั่งน้ำหนักเป็นระยะ ๆ เช่นมีการน้ำหนักตัวนักชก 30 วันก่อนชก (มวยไทยอาจปรับเปลี่ยน 21 วัน), 14 วันก่อนชก, 7 วันก่อนชก, ชั่งน้ำหนักอย่างเป็นทางการ 1 วันก่อนชก และชั่งวันชก 

    ยกตัวอย่าง (สมมติเฉย ๆ นะครับ ยังไม่ได้มีการออกกติกาเรื่องนี้) นักมวย สามารถมีน้ำหนักตัวเกินพิกัดได้ไม่เกิน 10% สำหรับการชั่ง 30 วันก่อนชก, เกินพิกัดได้ 5 เปอร์เซนต์ในการชั่ง 7 วันก่อนชก และในการชั่งอย่างเป็นทางการ 1 วันก่อนชก จะต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 3 เปอร์เซนต์ของพิกัด โดยการชั่งครั้งสุดท้ายก่อนชก จะมีน้ำหนักตัวได้ไม่เกิน 10 เปอร์เซนต์ จากวันที่ชั่งอย่างเป็นทางการ

เหตุผลเพื่อให้กระบวนการลดน้ำหนักของนักมวย เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ และชีวิตของนักมวย

นักมวยจะได้มีเวลาพักฟื้นร่างกายมากขึ้น มีพละกำลังเพิ่มขึ้น รวมถึงปรับสภาพได้ดี เมื่อต้องไปชกต่างประเทศ และต้องเจอกับการชั่งน้ำหนัก 1 วันก่อนชก ทำให้นักมวยไทย มีอายุการใช้ที่ยาวนานขึ้น และมันจะดีแค่ไหน ถ้าต่างฝ่ายต่างชกด้วยสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ เกมการชกบนเวทีก็ยิ่งเพิ่มอรถถรส

ซึ่งในระยะเวลา 1 วัน ก่อนการชก ก็เป็นช่วงที่วัดกึ๋น ความสามารถของ ค่ายต่างๆ ว่าจะวางแผนอย่างไร ให้นักมวยรับประทานอะไรได้บ้าง บำรุงอย่างไร ควรพักผ่อนแค่ไหน เพื่อให้เมื่อขึ้นไปบนเวที จะได้แสดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างดีที่สุด

ส่วนเรื่องคนกังวลว่า หากปล่อยให้มีการชั่งน้ำหนัก 1 วัน แล้วหลังจากนั้น นักมวยไปกินมาเยอะ เพิ่มให้น้ำตัวเพิ่ม อาจทำให้อีกฝ่ายเสียเปรียบ

จุดนี้ต้องทำความเข้าใจว่า การเพิ่มน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว หลังชั่งน้ำหนักได้ตามพิกัดแล้ว นั่นเป็นการส่งผลร้ายต่อสุขภาพนักมวย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดี และถ้าน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ ก่อนการชก ก็มีสิทธิ์ตกล็อกได้เหมือนกัน

    นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอจาก หนุ่มโบ๊ท ณัฐเดช ที่อยากให้มี การตรวจน้ำในร่างกายของนักกีฬา เพราะการตรวจน้ำจะเป็นตัวชี้วัดได้ว่า นักมวยคนนั้น ๆ บีบน้ำหนักมากเกินไปหรือเปล่า 

ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นข้อเรียกร้อง และการเปลี่ยนแปลงของ มวยไทยยุคใหม่ ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพนักมวยไทย ในระยะสั้นและระยะยาว


ติดตามทุกข่าวสารวงการมวยได้ที่นี่ www.muayded789.com