โอเล่ห์ เกียรติวันเวย์ : ตำนานไข่มุกดำแห่งเมืองทุ่งสง

โอเล่ห์ เกียรติวันเวย์ : ตำนานไข่มุกดำแห่งเมืองทุ่งสง


    คำว่า “ตำนาน” มีไว้เรียกสำหรับสุดยอดนักมวยเท่านั้น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการยกย่องเช่นนี้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นตำนานย่อมต้องมีความพิเศษ เหนือนักชกทั่วไป 

    โอเล่ห์ เกียรติวันเวย์ เป็น อดีตนักมวยคนหนึ่ง ที่สามารถเรียกว่าเขาเป็น ตำนานได้อย่างเต็มปาก เพราะตลอดเส้นทางบนผืนผ้าใบมวยไทย เขาได้ฝากลีลาการชกที่หาตัวจับได้ยาก

    ประสิทธิ์ ไทยแก้ว คือ ชื่อจริงของ โอเล่ห์ เกียรติวันเวย์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2516 เป็นคนตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 

    ฉายาของโอเล่ห์ คือ “ไข่มุกดำ, ไข่มุกอันดามัน” อันหมายถึง อัญมณีที่มีมูลค่าและหาได้ยากยิ่ง ซึ่งเปรียบเสมือนกับ ชั้นเชิงมวยที่น้อยคนนักจะมีสไตล์แบบเขา

    สไตล์ของ โอเล่ห์ มีความน่าสนใจและไม่ค่อยเหมือนใครนัก เพราะเขาเป็นนักชกจังหวะฝีมือ ที่มีอาวุธครบเครื่อง ชกจุกจิกกวนใจ และที่สำคัญมีหมัดชุด และใช้ศอกได้ดี แตกต่างกับนักชกจังหวะฝีมือทั่วไป ที่เน้นเรื่องการออกแข้งเป็นหลัก แต่โอเล่ห์ เป็นมวยฝีมือที่ออกหมัดได้ดีมาก พอๆกับ ลูกเตะสูง เตะก้านคอ ที่โอเล่ห์ ทำได้อย่างไม่ติดขัด  

    นอกจากนี้ โอเล่ห์ ยังเป็นนักชกที่มีการเคลื่อนที่รวดเร็ว พริ้วไหว สายตาเป็นเลิศ จนได้รับการยกย่องว่า เป็นนักมวยที่มีส่วนผสมระหว่าง สามารถ พยัคฆ์อรุณ ที่เป็นสุดยอดนักชกด้านพริ้วไหว และจังหวะฝีมือ กับ พุฒ ล้อเหล็ก สุดยอดนักมวยไทยผู้เชี่ยวชาญเรื่องการออกหมัด 

    โอเล่ห์ ภายใต้การดูแลของ ใหม่ เมืองคอน ผู้จัดการและเทรนเนอร์ ขึ้นชั้นมาเป็น มวยเอกของวงการ ตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ 

    เขาได้ประชันฝีมือมวยกับ สุดยอดนักชกในยุคนั้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วั่งจันน้อย ส.พลังชัย, เมธี เจดีย์พิทักษ์, ฉมวกเพชร ห้าพลัง, จอมภพเล็ก ส.สุมาลี, เทอดเกียรติ ศิษย์เทพพิทักษ์, เชอรี่ ส.วานิช, บุญหลาย ส.ธนิกุล  

    รวมถึง  นำขบวน หนองกี่พาหุยุทธ์ สุดยอดตำนานนักชกเจ้าของฉายา จอมไถนา ที่ว่าแน่ๆ เวลาเจอกับ โอเลห์ ทีไร เป็นต้องพบกับความพ่ายแพ้  ในยุคนั้น โอเล่ห์ เป็นนักมวยที่ดังมากๆ เวลาขึ้นสังเวียน แต่ละครั้ง สามารถสร้างกระแสผู้ชมได้แน่นขนัดเวที 

    ช่วงที่พีคสุดของการชกมวยไทย โอเล่ห์ มีค่าตัวสูงถึง 250,000 บาท ซึ่งเป็นมูลค่าของเงิน เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว หากตีเป็นเงินยุคนี้ก็คงต้องสูงมากแน่ๆ 

    ต่อมาได้รับการผลักดันให้ไปชก มวยสากลอาชีพ แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากพื้นเพ ไม่ใช่ประเภทมวยกำปั้นหมัดหนัก อาวุธหนักแรง หลังจากนั้นจึงแขวนนวม และใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายที่บ้านเกิด โดยไม่ได้ข้องเกียวกับวงการมวยสักเท่าไหร่ 

   ก่อนจะหวนกลับมาสู่สังเวียนกำปั้นอีกครั้ง ในบทบาทเทรนเนอร์ให้กับ ค่ายมวยพรัญชัย ที่นำเอาประสบการณ์ เทคนิคต่างๆ สมัยเป็นนักชก มาถ่ายทอดให้ นักชกแดนใต้สายเลือดใหม่ และถึงตอนนี้เขาก็ยังคงเป็น ตำนานที่ใครหลายคนน่าจะยังจดจำฝีไม้ลายมือของเขาได้เป็นอย่างดี

 


ติดตามทุกข่าวสารวงการมวยได้ที่นี่ www.muayded789.com