ออง ลา เอ็น ซาง วีรบุรุษนักสู้ชาวพม่าที่ประเทศถึงขั้นสร้างรูปปั้น
หากประเทศไทยมีแชมป์โลกมวยสากล และวีรบุรษเหรียญทองโอลิมปิก มวยสากลสมัครเล่น เป็นความภาคภูมิใจของชาติ… “ออง ลา เอ็น ซาง” (Aung La N Sang) ก็คงมีสถานะเดียวกัน ในประเทศเมียนมา เพราะเขาคือแชมป์โลก MMA สองรุ่น ผู้ทำให้โลกได้รับรู้ถึงความสามารถของ คนเมียนมา เกิดที่เมือง Myitkyina (มิตจีนา) ชีวิตความเป็นอยู่ในวัยเด็กของเขา ไม่ได้ลำบากเหมือน เด็กทั่วไปชาวพม่า เพราะคุณพ่อมีอาชีพเป็น พ่อค้าอัญมณี
ครอบครัวมีเงินพอจะส่งเขาย้ายไปเรียนต่อที่ระดับมหาวิทยาลัย ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การเกษตร ที่มหาวิทยาลัยแอนดรูว์
ที่แผ่นดินอเมริกาเขาได้รู้จักกับศิลปะการต่อสู้หลายชนิด เขาเริ่มฝึกหลายๆ ชนิดกีฬา เช่น บราซิลเลียน ยิวยิตสู ฯลฯ ก่อนตัดสินใจลงแข่ง MMA หนแรก เมื่อปี 2005 แม้จะแพ้ยับเยินในไฟต์แรก แต่เขาไม่ถอดใจสู้ต่อ จนเริ่มมีผลงานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
หลังเรียนจบปริญญาตรี เขาได้งานประจำตามสายที่เรียนมา แต่นั่นไม่ใช่ชีวิตที่เขาต้องการ เขาลาออกจากงาน และมาลุยเต็มตัวในการเป็น นักกีฬาอาชีพ เขาเก็บชัยชนะมาติดต่อกันถึง 15 ครั้ง ทำให้ ONE Championship มอบสัญญาให้เขาได้มาเป็นนักกีฬาในสังกัด
ออง ลา ไม่ใช่ตัวเต็งของ ONE Championship ทว่าหลังจากชนะติดต่อกันหลายไฟต์ นักสู้ชาวเมียนมา จึงได้รับโอกาสให้ชิงแชมป์โลก รุ่น มิดเดิลเวต แม้สุดท้ายเขาจะเป็นฝ่ายแพ้ ชวดเข็มขัดแชมป์โลก
แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ แก้ตัวได้สำเร็จในไฟต์ต่อมา กระชากเข็มขัดแชมป์โลกจาก วิตาลี บิกแดซ ท่ามกลางต่อผู้ชมที่บ้านเกิด ประเทศเมียนมา และป้องกันแชมป์มาได้อีกหลายครั้ง
“มันรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง นี่คือสิ่งที่ผมทุ่มเทมาตลอดชีวิต และมันก็กลายเป็นความจริงต่อหน้าแฟนๆ ในบ้านเกิดของผม”
“ผมทั้งประหลาดใจและมีความสุข ผมรู้สึกปลาบปลื้มอย่างที่สุด ผมมาจากจุดเริ่มต้นที่ต่ำต้อยจากเมืองเล็กๆ ในพม่า ไม่น่าเชื่อว่าผมจะได้รับเกียรติให้คว้าแชมป์โลก”
ไม่เพียงนั้น ออง ลา ยังคว้าแชมป์ ไลท์เฮฟวีเวต มาครองได้อีกเป็นเส้นที่สอง กลายเป็นนักต่อสู้ที่สร้างแรงบันดาลใจ และจุดประกายให้คนเมียนมาคลั่งไคล้นิยมเขา
มองเขาประดุจฮีโร่ จนถึงขั้นที่มีการสร้างรูปปั้นของ ออง ลา โดยมีพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางประชาชนที่มีการเปิดตัวรูปปั้นนี้ กันอย่างมากมาย
"ในครั้งแรกที่ผมได้ยินว่ารูปปั้นจะถูกสร้างขึ้น ผมตกใจและปฏิเสธทันที เพราะผมเพิ่งกำลังขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของอาชีพของผม และ ผมยังไม่ต้องการที่จะเพิ่มความกดดันใดๆ ผมกังวลเกี่ยวกับผู้คนที่เกลียดชังผม และ คนที่จะไม่เห็นด้วยในการสร้างรูปปั้นนี้”
“แต่สุดท้ายเมื่อคิดถึงว่ามันจะเป็น สัญลักษณ์แห่งที่จะเตือนให้ เด็กชาย และ เด็กสาว ที่เกิดใน Dukatawng หรือ ที่ใดก็ตามในพม่าว่า เค้าก็สามารถที่จะก้าวมาเป็นแชมป์โลกได้ ผมก็ตอบตกลง"
“ผมสามารถเป็นแรงบันดาลใจผู้คนในท้องถิ่นและทั้งประเทศบ้านเกิดของผม ด้วยการทำให้พวกเขารู้ว่า หากอยากประสบความสำเร็จสูงสุด ก็ต้องทุ่มเทและอุทิศกายใจให้กับสิ่งนั้น”
“ในฐานะที่เป็นแบบอย่างด้านกีฬา ผมสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั้งประเทศด้วยการเป็นนักสู้ที่เก่งที่สุดเท่าที่ผมจะเป็นได้ ที่ผ่านมาไม่เคยมีชาวพม่าคนไหนได้เข้าร่วมการแข่งขันระดับโลก มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับผม ทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจ และยังเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนให้ผมเดินหน้าต่อไปอีกด้วย” เขากล่าว
ติดตามทุกข่าวสารวงการมวยได้ที่นี่ www.muayded789.com